หน้าหลัก 5 บทความ 5 ปุ๋ยอินทรีย์ เคมี

ปุ๋ยอินทรีย์ เคมี

23 มิ.ย., 2023 | บทความ

ในสมัยก่อนเกษตรกรเห็นว่า พืชที่ขึ้นอยู่ใกล้คอกสัตว์เจริญเติบโตได้ดี จึงได้นำมูลสัตว์ หรือ ปุ๋ยคอก มาใส่ให้กับพืช ปุ๋ยดังกล่าวได้มาจากสิ่งมีชีวิตจึงเรียกว่า ปุ๋ยอินทรีย์ ถ้าพื้นที่ปลูกไม่มากก็สามารถนำมูลสัตว์รวมทั้งเศษซากพืชที่เน่าเปื่อยผุพังมาใส่ให้กับดินเพื่อชดเชยให้กับส่วนที่ติดไปกับผลผลิตพืชได้ แต่ถ้าเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ก็ยากที่จะหาแหล่งปุ๋ยอินทรีย์ให้เพียงพอได้ จึงมีการนำวัสดุที่ให้ธาตุอาหารพืชทั้งที่มีอยู่ตามธรรมชาติ หรือนำวัสดุจากแหล่งธรรมชาติ รวมทั้งวัสดุที่เป็นผลพลอยได้จากโรงงานอุตสาหกรรมบางชนิด มาทำปฏิกิริยากันทางเคมีได้เป็นสารประกอบที่ให้ธาตุอาหารพืช และเรียกปุ๋ยประเภทนี้ว่า ปุ๋ยเคมี ซึ่งเป็นสารที่ให้ธาตุอาหารพืชปริมาณมากและพืชนำไปใช้ได้ง่าย

ด้วยชื่อ ปุ๋ยเคมี จึงทำให้มีคนเข้าใจว่าจะเป็นอันตราย และถ่ายทอดความรู้ที่คลาดเคลื่อนไปสู่คนทั่วไป จนทำให้ดูน่ากลัวเหมือนกับว่าเป็นสิ่งที่จะทำให้ดินเสื่อมและเป็นอันตรายกับผู้บริโภคพืชที่ใส่ปุ๋ยเคมี ทั้ง ๆ ที่ ปุ๋ยเคมี คือ อาหารของพืช ไม่ใช่สารพิษอย่างที่เข้าใจ ไม่ว่าจะใส่ปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยอินทรีย์ ธาตุอาหารในปุ๋ยต้องเปลี่ยน เป็นรูปที่ละลายได้ง่ายเหมือนกันพืชจึงดูดไปใช้ได้ ปุ๋ยเคมีและปุ๋ยอินทรีย์ต่างก็มีจุดเด่นจุดด้อยที่แตกต่าง เมื่อเข้าใจแล้วก็จะทำให้นำปุ๋ยทั้งสองประเภทนี้มาใช้เพื่อผลิตอาหารให้ปลอดภัยและเพียงพอ ตลอดจนรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดินไว้ให้คนรุ่นต่อ ๆ ใช้เป็นแหล่งผลิตอาหารได้ตลอดไป

ปุ๋ยอินทรีย์เป็นปุ๋ยที่ผลิตจากวัสดุชีวภาพที่ มีต้นกำเนิดมาจากสิ่งมีชีวิต เช่น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอมโพสต์ ปุ๋ยหมักขี้วัว และปุ๋ยปลูกต้นไม้ ส่วนประกอบหลักของปุ๋ยอินทรีย์เป็นสารอินทรีย์ที่มีปริมาณสูง เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม สารเหล่านี้ช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดินและส่งเสริมให้พืชเจริญเติบโตอย่างมีสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ปุ๋ยอินทรีย์ยังช่วยเพิ่มความอ่อนน้อมอ่อนวิวาทในดิน ลดการสูญเสียน้ำและช่วยให้ดินร่วนซุย ซึ่งสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตของรากพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ปุ๋ยอินทรีย์ เคมี วัสดุปรับปรุงดิน

ปุ๋ยเคมีเป็นปุ๋ยที่ผลิตโดยกระบวนการเคมี ซึ่งประกอบด้วยสารอนินทรีย์และสารเคมีอื่น ๆ เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ที่สามารถให้พืชได้อย่างรวดเร็ว ปุ๋ยเคมีมีลักษณะที่มีความเข้มข้นสูงและสามารถปรับสูตรได้ตามความต้องการของพืช อีกทั้งยังมีปริมาณธาตุอาหารที่สูงมาก เมื่อใช้ปุ๋ยเคมีอย่างถูกต้อง พืชสามารถได้รับสารอาหารที่เหมาะสมเพื่อสร้างสารอินทรีย์ และสามารถเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ปุ๋ยเคมียังมีความสามารถในการปรับปรุงคุณภาพดินและสร้างพื้นที่เพาะปลูกที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของพืช

ปุ๋ยอินทรีย์เคมี เป็นปุ๋ยนวัตกรรมสำหรับผู้ต้อง การเพิ่มผลผลิตและรักษาดินในเวลาเดียวกัน เพื่อความยั่งยืนในการทำเกษตรกรรม ในปัจจุบันการปลูกพืชแต่ละชนิดจำเป็นต้องใช้ธาตุอาหารที่มากขึ้น เนื่องจากสภาพของดินมีการถูกดูดซึมธาตุอาหารไปเป็นจำนวนมาก การใช้ ‘ปุ๋ยเคมี’ ที่มีธาตุอาหารเยอะจึงจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช แต่การใส่ปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียวเป็นระยะเวลานานก็จะทำให้ดินเกิดการเสื่อมสภาพได้เร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาการดินเปรี้ยว ดินแห้ง ดินแข็ง โดยวิธีการแก้ปัญหาที่ทำกันมาคือการสลับใช้ ‘ปุ๋ยอินทรีย์‘ เพื่อทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น
เมื่อดินจำเป็นที่จะใช้ปุ๋ยทั้งสองแบบในการเจริญเติบโตของพืชและรักษาดิน จึงได้มีการคิดค้น ‘ปุ๋ยอินทรีย์เคมี’ ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาที่เกษตรกรต้องสลับใช้ สต๊อกปุ๋ยทั้งสองชนิด รวมทั้งลดต้นทุนและเวลาสำหรับการให้ปุ๋ยอีกด้วย

ปัจจุบันการเกษตรของไทยมีแนวโน้มการใช้ปุ๋ย เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในแต่ละปี ปุ๋ยเคมีมีธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชในปริมาณสูงทำให้ผลิตผลิตของพืชในการเก็บเกี่ยวสูงตามมาด้วย ส่วนปุ๋ยอินทรีย์มีราคาถูกกว่าปุ๋ยเคมีเพราะสามารถผลิตหรือหาได้ง่ายตามท้องถิ่่นจากเศษพืช มูลสัตว์หรือวัสดุทางการเกษตรที่เหลือทิ้งซึ่งปุ๋ยอินทรีย์มีคุณสมบัติในการบำรุงดิน และให้ธาตุอาหารแก่พืชด้วยเช่นกัน แต่น้อยกว่าปุ๋ยเคมีที่มีธาตุอาหารที่สูงโดยตรง หากใช้ปุ๋ยอินทรีย์อย่างเดียวในระยะเวลานานจะทำให้ธาตุอาหารในดิน และผลผลิตน้อยลง จึงจำเป็นต้องเพิ่มธาตุอาหารให้เพียงพอแก่พืช แต่หากใช้ปุ๋ยเคมีอย่างเดียวจะทำให้ผลผลิตสูงอย่างเดียว ผลเสียตามมาคือดินเป็นกรด และเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ดังนั้น หากมีการนำส่วนดีของปุ๋ยทั้งสองอย่างมาผสมกันก็จะได้ปุ๋ยที่มีคุณสมบัติทั้งการบำรุงดิน และเพิ่มผลผลิตที่สูง ปุ๋ยดังกล่าวเรียกโดยทั่วไปว่า

ปุ๋ยอินทรีย์ คือสารประกอบที่ได้จากสิ่งที่มีชีวิต ได้แก่ พืช สัตว์ และจุลินทรีย์ ผ่านกระบวนการผลิตทางธรรมชาติ ปุ๋ยอินทรีย์ส่วนใหญ่ใช้ในการปรับปรุงสมบัติทางกายภาพของดิน ทำให้ดินโปร่ง ร่วนซุย ระบายน้ำและถ่ายเทอากาศได้ดี รากพืชจึงชอนไชไปหาธาตุอาหารได้ง่ายขึ้น ปุ๋ยอินทรีย์ มีปริมาณธาตุอาหารอยู่น้อยเมื่อเปรียบเทียบกับปุ๋ยเคมี และธาตุอาหารพืชส่วนใหญ่อยู่ในรูปของสารประกอบอินทรีย์ เช่น ไนโตรเจนอยู่ในสารประกอบจำพวกโปรตีน เมื่อใส่ลงไปในดินพืชจะไม่สามารถดูดไปใช้ประโยชน์ได้ทันที แต่ต้องผ่านกระบวนการย่อยสลายของจุลินทรีย์ในดิน แล้วปลดปล่อยธาตุอาหารเหล่านั้นออกมาในรูปสารประกอบอินทรีย์ เช่นเดียวกันกับปุ๋ยเคมี จากนั้นพืชจึงดูดไปใช้ประโยชน์ได้

จะเห็นได้ว่าข้อดีที่โดดเด่นของปุ๋ยอินทรีย์คือช่วยปรับปรุงพัฒนาโครงสร้างดินให้มีความเหมาะสมต่อการเพราะปลูกแต่การเพราะปลูกเพื่อให้ได้ผลผลิตทั้งปริมาณและคุณภาพนั้น พืชต้องอาศัยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตเช่นกันซึ่งในปุ๋ยอินทรีย์จะมีสารอาหารที่พืชต้องการใช้ในปริมาณมากอยู่น้อยซึ่งเป็นจุดด้อยของปุ๋ยอินทรีย์ เรามาดูข้อเสียของปุ๋ยอินทรีย์ว่ามีอะไรบ้างกันบ้างเพื่อจะได้เป็นประโยชน์ต่อการนำไปใช้

ในปัจจุบันมีหน่วยงานภาครัฐได้คิดค้นวิธีการทำปุ๋ยอินทรีย์ที่มีต้นทุนต่ำและทำได้ง่ายและที่สำคัญสูตรต่างๆที่เขาพัฒนาขึ้นมานั้นได้มีการนำไปวิเคราะห์หาปริมาณสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อพืชและผ่านมาตรฐานปุ๋ยอินทรีย์ที่กรมวิชาการกำหนดใว้ด้วยครับ ดังนั้นถ้าเรานำสูตรเหล่านั้นมาผลิตให้ถุกต้อง ตามวิธีการเราก็จะได้ปุ๋ยอินทรีย์ที่มีคุณภาพ ปุ๋ยอินทรีย์ เคมี เมื่อนำมาใช้ก็จะเกิดการเห็นผลที่ชัดเจนและยังช่วยลดการใช้ปุ๋ยเคมีจึงทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงและการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ยเคมีจะช่วยเพิ่มปริมาณและคุณภาพผลผลิตให้กับเกษตรกรมากกว่าการใช้ปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียว ซึ่งได้มีการทดลองนำปุ๋ยอินทรีย์แต่ละสูตรไปใช้ในแปลงเพราะปลูกของเกษตรกรปรากฎว่าให้ผลผลิตและคุณภาพเพิ่มขึ้น ผลผลิตมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นทำให้รายได้ของเกษตรกรเพิ่มขึ้น

ปุ๋ยอินทรีย์คือ ปุ๋ยที่มีธาตุอาหารพืชเป็น องค์ประกอบที่มาจากอินทรีย์วัตถุชนิดต่างๆ ได้แก่ซากพืช ใบไม้ มูลสัตว์ หมักย่อยสลายจนเกิดสารอาหารที่พืชต้องการ ปุ๋ยอินทรีย์ ซึ่งแบ่งเป็น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมก ปุ๋ยพืชสด และปุ๋ยชีวภาพ ซึ่งปุ๋ยแต่ละชนิดจะมีประโยชน์และสรรพคุณที่แตกต่างกัน แต่ประการหลัก คือ จะช่วยให้พืชผลเจริญงอกงามดี
ต้นไม้ทุกชนิดต้องการอาหารเพื่อการเจริญเติบโต เช่นเดียวกับต้องการแสงแดดและน้ำ พูดง่ายๆ เราต้องใส่ปุ๋ยในไร่นา แปลงผัก สวนสวย พืชผลจึงจะงามดี ปุ๋ยอินทรีย์ เปรียบเสมือนโรงงานแปรสภาพธาตุอาหารที่ในดินให้กลับมาอยู่ในรูปของปุ๋ย ซึ่งรากพืชสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ “ปุ๋ย” กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้

ประโยชน์ของปุ๋ยอินทรีย์

ปุ๋ยอินทรีย์ที่สลายตัวได้ที่ดีแล้ว เป็นวัสดุที่ค่อนข้างทนทานต่อการย่อยสลายพอสมควร ดังนั้น เมื่อใส่ลงไปในดิน ปุ๋ยอินทรีย์ จึงสลายตัวได้ช้า ไม่รวดเร็ว เหมือนกับการไถกลบเศษพืชโดยตรง ซึ่งก็นับว่าเป็นลักษณะที่ดีอย่างหนึ่งของปุ๋ยอินทรีย์ เพราะทำให้ปุ๋ยอินทรีย์สามารถปรับปรุงดินให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมต่อ การเจริญเติบโตของพืชได้เป็นระยะเวลานานๆ ปุ๋ยอินทรีย์บางส่วนจะคงทนอยู่ในดินได้นานเป็นปี แต่ก็มีบางส่วนที่ ถูกย่อยสลายไป ในการย่อยสลายนี้จะมีแร่ธาตุอาหารพืชถูกปลดปล่อยออกมาจากปุ๋ยอินทรีย์ให้พืชได้ไช้อยู่เรื่อยๆ แม้ว่าจะเป็นปริมาณที่ไม่มากนัก แต่ก็ถูกปลดปล่อย ออกมาตลอดเวลาและสม่ำเสมอ

ปุ๋ยที่เป็นธาตุอาหารสำหรับพืชแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆคือ ปุ๋ยอินทรีย์ และปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยเม็ด ข้อดีของปุ๋ยเม็ดคืออุดมไปด้วยสารอาหารที่ครบถ้วนสมบูรณ์ตามที่ต้นไม้ต้องการ แต่การปลูกผักโดยใช้ปุ๋ยเคมีในจำนวนมากๆ ก่อให้เกิดสารตกค้างในพืชผักได้เช่นกัน ดังนั้นปุ๋ยอินทรีย์จึงเป็นเหมือนทางออกสำหรับคนรักสุภาพและอยากได้อาหารที่ปลอดภัย วันนี้บ้านและสวนจะพาไปรู้จักชนิดของปุ๋ยอินทรีย์ว่ามีกี่ชนิด และแต่ละชนิดใช้งานอย่างไรกันบ้าง

การเลือกใช้ปุ๋ย:
การเลือกใช้ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยเคมีขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและความต้องการของพืชที่เราปลูก ปุ๋ยอินทรีย์เหมาะสำหรับการใช้ในสวนผักหรือการปลูกพืชอินทรีย์ เนื่องจากสารอินทรีย์ที่มากับปุ๋ยช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างเชื้อจุลินทรีย์ในดิน ทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์และเสถียรภาพมากขึ้น ในขณะที่ปุ๋ยเคมีเหมาะสำหรับการใช้ในการปลูกพืชที่ต้องการสารอาหารเพิ่มเติมอย่างรวดเร็ว หรือต้องการปรับสูตรปุ๋ยเพื่อตอบสนองความต้องการของพืชในระยะเวลาที่กำหนด

ปุ๋ยอินทรีย์เคมี เป็นปุ๋ยที่มีการผสมกันระหว่างปุ๋ยอินทรีย์กับปุ๋ยเคมีเข้าด้วยกันจึงให้ผลผลิตสูงพร้อมกับการบำรุงดินให้อุดมสมบูรณ์ จะประกอบด้วยแร่ธาตุหลักคือ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมในปริมาณที่สูง และแร่ธาตุเสริมอื่นๆด้วยจากส่วนผสมของปุ๋ยทั้งสอง นอกจากตัวแร่ธาตุแล้ว จะให้อินทรีย์วัตถุที่ทำหน้าที่ในการบำรุงดินในด้านต่างๆจากส่วนผสมของปุ๋ยอินทรีย์ที่ได้จากเศษพืชหรือมูลสัตว์ ทั้งนี้อัตราส่วนของปริมาณแร่ธาตุ และอินทรีย์วัตถุใน จะขึ้นกับอัตราส่วนที่ทำการผสม โดยแนะนำให้อัตราส่วนของปุ๋ยอินทรีย์มากกว่าปุ๋ยเคมีในอัตราส่วน 1:3 เพราะปุ๋ยอินทรีย์เองก็สามารถให้แร่ธาตุได้เหมือนกันแต่น้อยกว่าปุ๋ยเคมีเท่านั้นเอง

ปุ๋ยอินทรีย์เคมี

  • เป็นปุ๋ยที่เกิดจากการผสมกันระหว่าง “ปุ๋ยอินทรีย์” กับ “ปุ๋ยเคมี” ปุ๋ยอินทรีย์เคมีจะประกอบด้วยธาตุอาหารในปริมาณที่สูงกว่าปุ๋ยอินทรีย์ เนื่องจากได้ปริมาณธาตุอาหารมาจากปุ๋ยเคมีเป็นหลัก โดยมีหลักเกณฑ์การพิจารณาความเป็นปุ๋ยอินทรีย์เคมี ดังนี้
  • มีธาตุอาหารหลัก 2 ธาตุขึ้นไป
  • ธาตุอาหารหลักแต่ละธาตุต้องไม่ต่ำกว่า 3% และรวมกันต้องไม่ต่ำกว่า 12%
  • มีปริมาณอินทรียวัตถุไม่น้อยกว่า 10%

ประโยชน์หลักของปุ๋ยอินทรีย์เคมีมีอะไรบ้าง

  1. ช่วยเพิ่มปริมาณธาตุอาหารในดินให้มีมากขึ้น แก้ปัญหาพืชขาดธาตุอาหาร
  2. ช่วยทำให้ดินไม่ถูกทำลายจากธาตุอาหาร แก้ปัญหาดินเสื่อมสภาพ
  3. ช่วยปรับสภาพดินให้มีความเหมาะสมกับการปลูกพืชชนิดต่าง ๆ
  4. เพิ่มจุลินทรีย์ในดิน ช่วยให้ดินปลดปล่อยธาตุอาหารได้มากขึ้น

ปุ๋ยอินทรีย์(Organic Fertilizer) หมายถึง ปุ๋ยที่มีส่วนประกอบเป็นสารอินทรีย์ที่ได้มาจากสิ่งมีชีวิต เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด ซากพืช หรือสัตว์ที่ไถกลบลงดิน รวมถึงพวกอินทรียสารที่เป็นของเหลือทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรมเกษตร เช่น กากตะกอนอ้อย (filter cake) ทะลายปาล์ม เป็นต้น

หน้าที่หลักของปุ๋ยอินทรีย์ คือ การปรับปรุงสมบัติทางกายภาพ ได้แก่ การทําให้ดินโปร่งร่วนซุย ให้ธาตุอาหารพืชค่อนข้างครบถ้วนและสมดุลดี ทั้งธาตุอาหารหลักและจุลธาตุหรือธาตุอาหารเสริม แต่ส่วนใหญ่จะม็ธาตุอาหารหลักอยู่ในปริมาณต่ำ เกษตรกรจําเป็นต้องใช้ในประมาณค่อนข้างสูงมาก เมื่อใช้แต่ปุ๋ยอินทรีย์เพียงชนิดเดียว โดยไม่มีการใส่รวมกับปุ๋ยเคมี และหน้าที่ที่สําคัญมากอีกประการหนึ่ง ก็คือทําให้ดินมีอินทรียวัตถุเพิ่มมากขึ้น

อินทรีย์วัตถุ (Organic matter) คือ อินทรีย์สารที่เกิดจากการผุผัง ย่อยสลายของสิ่งมีชีวิตต่างๆ เช่น เศษใบไม้ เศษหญ้า ซากสัตว์ตาย เศษอาหาร โดยถูกทับถม และเป็นองค์ประกอบของดิน ซึ่งจะมีความสำคัญอย่างมากทั้งด้านกายภาพ ด้านชีวภาพ และด้านเคมีของดิน

เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม: ปุ๋ยอินทรีย์มาจากแหล่งธรรมชาติและมักทำจากวัสดุรีไซเคิลหรือขยะอินทรีย์ พวกเขาส่งเสริมการทำเกษตรแบบยั่งยืนและช่วยลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม
การปรับปรุงสุขภาพดิน: ปุ๋ยอินทรีย์ช่วยเพิ่มโครงสร้างของดินและความอุดมสมบูรณ์โดยการเพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุ พวกมันช่วยปรับปรุงการกักเก็บความชื้น การเติมอากาศ และความสามารถในการอุ้มธาตุอาหารของดิน ส่งผลให้ดินมีสุขภาพดีและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

การปลดปล่อยธาตุอาหารเมื่อเวลาผ่านไป: ปุ๋ยอินทรีย์จะปลดปล่อยธาตุอาหารอย่างช้าๆ และสม่ำเสมอ ทำให้พืชได้รับธาตุอาหารที่จำเป็นอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้จะช่วยลดความเสี่ยงของการชะล้างสารอาหารและรับประกันการบำรุงในระยะยาว
การส่งเสริมกิจกรรมของจุลินทรีย์: ปุ๋ยอินทรีย์กระตุ้นกิจกรรมของจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ในดิน ส่งเสริมระบบนิเวศของดินที่สมดุลและหลากหลาย สิ่งนี้ช่วยในการหมุนเวียนของธาตุอาหาร การยับยั้งโรค และสุขภาพโดยรวมของพืช
ปลอดภัยต่อสุขภาพของมนุษย์: ปุ๋ยอินทรีย์ปราศจากสารเคมีสังเคราะห์ ยาฆ่าแมลง และสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม (GMOs) พวกเขามีความเสี่ยงน้อยที่สุดต่อสุขภาพของมนุษย์และส่งเสริมการผลิตอาหารอินทรีย์ที่ปราศจากสารเคมี

การผลิตปุ๋ยอินทรีย์แบบเติมอากาศ

การผลิตปุ๋ยอินทรีย์แบบเติมอากาศ พัฒนาโดยกรมวิชาการเกษตร เพื่อลดต้นทุนการกลับกองปุ๋ยหมักแบบเดิมโดยใช้การควบคุมการระบายอากาศในกองปุ๋ยแทนการกลับกองด้วยการเติมอากาศด้วยเครื่องอัดอากาศจากด้านล่างกองปุ๋ย ซึ่งการทำปุ๋ยอินทรีย์แบบเติมอากาศมีข้อดีดังต่อไปนี้

-ไม่ต้องกลับกองปุ๋ยเหมือนการหมักปุ๋ยแบบเดิมที่ต้องกลับกองทุกๆ วัน
-ไม่ใส่ยูเรีย (46-0-0) ได้ปุ๋ยที่สามารถนำไปใช้ในแปลงเพราะปลูกระบบอินทรีย์ได้
-ผสมวัตถุดิบโดยการคลุกเคล้าให้เข้ากันพร้อมเติมน้ำเพื่อให้ได้ความชื้นที่เหมาะสม สามารถใช้เครื่องจักรเข้ามาช่วยได้ครับและทำครั้งเดียว ในขั้นตอนการผสมวัตถุดิบ
-ไม่ต้องตั้งกองเป็นชั้นๆและสลับเศษพืชกับมูลสัตว์เป็นชั้นๆเหมือนการหมักปุ๋ยหมักไม่กลับกองวิศวกรรมแม่โจ้
-ได้ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพภายในระยะเวลา 2 เดือน (ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่นำมาหมัก)
-เหมาะกับเกษตรกรหรือผู้ที่มีพื้นที่น้อยแต่ต้องการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ในปริมาณมาก

ความพร้อมของธาตุอาหารอย่างรวดเร็ว: ปุ๋ยเคมีมีธาตุอาหารเข้มข้นที่พร้อมสำหรับการดูดซึมของพืช วัสดุปลูก พวกมันช่วยเพิ่มธาตุที่จำเป็นในทันที ช่วยให้พืชเอาชนะการขาดธาตุอาหารได้อย่างรวดเร็ว โภชนาการที่แม่นยำ ปุ๋ยเคมีสามารถกำหนดอัตราส่วนธาตุอาหารเฉพาะเพื่อตอบสนอง ความต้องการที่แม่นยำของพืชชนิดต่างๆ และระยะการเจริญเติบโต สิ่งนี้ทำให้สามารถเสริมสารอาหารได้ตรงเป้าหมายและมีประสิทธิภาพ ความเข้มข้นของธาตุอาหารสูง: ปุ๋ยเคมีโดยทั่วไปมีความเข้มข้นมากกว่าปุ๋ยอินทรีย์ หมายความว่าปริมาณที่น้อยกว่าสามารถให้ธาตุอาหารจำนวนมากได้ สิ่งนี้สามารถเป็นประโยชน์ในสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรขนาดใหญ่หรือพืชที่มีความต้องการสารอาหารสูง


การใช้งานและการจัดการที่ง่าย

ปุ๋ยเคมีมักมีอยู่ในรูปแบบที่ละลายน้ำได้ง่าย ทำให้สะดวกสำหรับการใส่ผ่านระบบให้น้ำหรือการฉีดพ่นทางใบ นอกจากนี้ยังจัดเก็บและขนส่งได้ง่ายกว่าเนื่องจากมีลักษณะเข้มข้นความคุ้มค่า ในบางกรณี ปุ๋ยเคมีสามารถประหยัดต้นทุนได้มากกว่าเมื่อเทียบกับปุ๋ยอินทรีย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำนึงถึงความเข้มข้นของธาตุอาหารที่สูงกว่าและผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของพืชในทันที สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าทั้งปุ๋ยอินทรีย์ และปุ๋ยเคมีมีข้อดีและข้อควรพิจารณา ทางเลือกระหว่างสิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น พืชเฉพาะ สภาพดิน ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ผลผลิตที่ต้องการ และวิธีการทำฟาร์มโดยรวม (แบบดั้งเดิมกับแบบอินทรีย์) แนวทางปฏิบัติทางการเกษตรสมัยใหม่หลายอย่างส่งเสริมการบูรณาการของปุ๋ยทั้งสองชนิด โดยใช้วิธีการที่สมดุลและยั่งยืนเพื่อเพิ่มคุณค่าทางอาหารของพืชในขณะที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด

ปุ๋ยอินทรีย์เคมีคืออะไร มีประโยชน์อย่างไร? ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยรวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจึงทำให้ชีวิตความเป็นอยู่และพฤติกรรมของมนุษย์มี การปรับเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาขึ้นเรา จึงได้เห็นนวัตกรรมของสินค้าและบริการที่ถูกคิดค้นเพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตของมนุษย์รวมถึงพฤติกรรมในการทำ เกษตรอินทรีย์ ที่เปลี่ยนไป การเลือกใช้ คือ หนึ่งทางเลือกในการในงานเกษตรไม่ว่าจะเป็นพืช อะไร ก็ตามวันนี้เราจึงขอพาทุกท่านไปค้นหาข้อมูลของปุ๋ยชนิดนี้ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นทางเลือกสำหรับเกษตรกร

ความสำคัญของ ปุ๋ยอินทรีย์

แม้ว่าเทคโนโลยีการผลิตปุ๋ยในปัจจุบันจะทำให้เรามีตัวเลือกมากขึ้น ปุ๋ยอินทรีย์ เคมี แต่ปุ๋ยอินทรีย์ก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในการบำรุงพืชและพัฒนาโครงสร้างดินอยู่ดี ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่ยังไม่มีปุ๋ยชนิดไหนทดแทนได้ ดังต่อไปนี้

  • ปุ๋ยอินทรีย์มีธาตุอาหารครบถ้วน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะวัตถุดิบตั้งต้นของปุ๋ยอินทรีย์นั้นมาจากธรรมชาติ จึงมีทั้งธาตุหลักและธาตุรองอย่างสมดุล แม้แต่ธาตุอาหารเสริมที่พืชต้องการเพียงเล็กน้อยก็พบได้ในปุ๋ยชนิดนี้ด้วย วิธีการให้ปล่อยสารอาหารลงสู่ดินก็เป็นไปอย่างช้าๆ แต่อาศัยความต่อเนื่องยาวนาน พืชจึงดูดซึมไปใช้งานได้ค่อนข้างมาก
  • ปุ๋ยอินทรีย์มีส่วนช่วยในการปรับปรุงโครงสร้างดิน โดยการเพิ่มอินทรียวัตถุลงในดิน แล้วทำให้อนุภาคของดินนั้นเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น จากเม็ดดินอัดแน่นก็จะมีความโปร่งและร่วนซุย ระบายน้ำและอากาศได้ดี ทำให้ระบบรากของพืชเจริญเติบโตได้เร็วพร้อมกับทำหน้าที่ได้ดูดซึมอาหารได้อย่างสมบูรณ์มากขึ้น นอกจากนี้ปุ๋ยอินทรีย์ยังมีคุณสมบัติในการช่วยควบคุมความเป็นกรด-ด่างในดินอีกด้วย
  • จากเอกสารเรื่องปุ๋ยอินทรีย์ของกรมส่งเสริมการเกษตรกล่าวว่า ปุ๋ยอินทรีย์ช่วยส่งเสริมการเติบโตของจุลินทรีย์ชนิดดี ในวงจรการดูดซึมธาตุอาหารของพืชจะต้องมีจุลินทรีย์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ เพราะพวกมันทำหน้าที่ย่อยสลายและเปลี่ยนรูปธาตุอาหารจนกลายสิ่งที่พืชนำไปใช้ประโยชน์ได้ ส่วนประกอบในปุ๋นอินทรีย์จะช่วยให้จุลินทรีย์เหล่านี้เพิ่มจำนวนขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อการเพาะปลูกในระยะยาว
  • ปุ๋ยอินทรีย์ช่วยเสริมประสิทธิภาพของปุ๋ยประเภทอื่นได้ดี กรณีที่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ยเคมี ปุ๋ยอินทรีย์จะทำหน้าที่เหมือนผู้ปูทางที่เตรียมองค์ประกอบพื้นฐานให้พร้อม และสร้างสภาพแวดล้อมในดินให้เอื้อต่อการดูดซับสารอาหาร เมื่อใส่ปุ๋ยเคมีเพิ่มเข้าไป ทั้งดินและพืชจึงใช้ประโยชน์จากธาตุอาหารได้อย่างเต็มที่
  • ปุ๋ยอินทรีย์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่แค่เรื่องคุณสมบัติที่เป็นธรรมชาติเท่านั้น แต่การนำเศษซากจากการทำเกษตรกรรมมาใช้ ก็เท่ากับลดปริมาณขยะลงไปได้มาก อีกทั้งยังช่วยให้เกษตรกรลดค่าใช้จ่ายบางส่วนลงไปได้อีกด้วย

ปุ๋ยอินทรีย์ มีกี่ชนิด

  1. ปุ๋ยคอก
    ปุ๋ยคอก (Animal manure) คือ ปุ๋ยที่ได้จากมูลสัตว์ ตัวอย่างของประเภทสัตว์ที่นิยมใช้กันได้แก่ มูลโค มูลไก่ มูลเป็ด และมูลสุกร แน่นอนว่ามูลสัตว์ชนิดอื่นก็สามารถนำมาใช้ได้เช่นกัน แต่มูลของสัตว์เหล่านี้หาได้ง่ายกว่า อีกทั้งส่วนมากยังเป็นผลพลอยได้ของการเกษตรเชิงผสมผสานอยู่แล้วด้วย มูลสัตว์นั้นไม่ใช่ของเสียแต่เป็นซากพืชซากสัตว์ที่ผ่านการย่อยในกระเพาะอาหารมาแล้ว จึงมีธาตุอาหารหลายชนิดที่ดีต่อพืชและดิน
  2. ปุ๋ยหมัก
    ปุ๋ยหมัก (Compost) คือ ปุ๋ยที่ได้จากระบวนการหมักจนเกิดการย่อยสลายในเชิงชีววิทยา จากข้อมูลในงานวิจัยของคุณนรีลักษณ์เกี่ยวกับปุ๋ยอินทรีย์กล่าวว่า ส่วนมากนิยมใช้ของเหลือในกิจกรรมทางการเกษตร เช่น หยวกกล้วย ฟางข้าว เป็นต้น นำวัตถุดิบมาทำให้เป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนนำไปหมักในสภาวะอันเหมาะสม เพื่อรอให้จุลินทรีย์ทำหน้าที่ของมัน สุดท้ายจะได้ผลลัพธ์เป็นปุ๋ยหมักที่มีเนื้อยุ่ย อนุภาคแยกจากกันได้โดยง่าย มีคุณสมบัติพร้อมทั้งการบำรุงและปรับปรุงกายภาพของดิน
  3. ปุ๋ยพืชสด
    ปุ๋ยพืชสด (Green manure) คือ ปุ๋ยที่ได้จากการเลือกพืชบางชนิดมาเพาะปลูกในพื้นที่ เมื่อโตได้ระยะหนึ่งก็ไถกลบเพื่อให้พืชนั้นย่อยสลายไปเองตามธรรมชาติ จุดเด่นของปุ๋ยชนิดนี้อยู่ที่การเพิ่มปริมาณไนโตรเจนให้แก่ดิน เพราะพืชที่นิยมใช้ทำปุ๋ยพืชสดนั้น นอกจากต้องเติบโตได้เร็วแล้ว ยังต้องมีคุณสมบัติตรึงธาตุไนโตรเจนได้ดีมากด้วย เช่น พืชตระกูลถั่วทั้งหมด ปอเทือง โสน เป็นต้น จะเรียกว่าเป็นการบำรุงดินครั้งใหญ่หลังจากเสื่อมโทรมเพราะการเพาะปลูกก่อนหน้านี้ก็ได้
ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมีเป็นสองทางเลือกที่มีให้เลือกใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการเจริญเติบโตของพืช

ปุ๋ยอินทรีย์เน้นไปที่ความสมดุลและความเป็นระบบในดิน ในขณะที่ปุ๋ยเคมีเน้นไปที่การให้สารอาหารที่เหมาะสมและรวดเร็ว การเลือกใช้ปุ๋ยขึ้นอยู่กับลักษณะของพืชที่เราปลูกและเป้าหมายการใช้ปุ๋ยของเรา อีกทั้งยังควรพิจารณาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในการเลือกใช้ปุ๋ยที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ผลผลิตที่เป็นประโยชน์และยั่งยืนในระยะยาว เชื่อว่าหลายท่านจะต้องได้ยินคำชนิดนี้มากขึ้นเพราะ ด้วยการพัฒนานวัตกรรมทางการเกษตรเพื่อรองรับการเติบโตและการขยายในด้านการเกษตรยุคใหม่เพราะปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของดินจึงต้องหาสิ่งที่สามารถเติมเต็มและปรับโครงสร้างดินให้ดีขึ้นหากเมื่อเทียบกับในอดีตเราจะสังเกตว่าในยุคที่ผ่านมาการทำเกษตรอินทรีย์โดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์ทั่วไปสามารถทำให้พืชผลทางการเกษตรเติบโตได้ปกติแต่เมื่อการปลูกพืชซ้ำๆทำให้โครงสร้างดินเกิดการเสื่อมโทรมแถมยังต้องเจอการใช้ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยยูเรีย ใน การปลูกผัก ทำนา หรือแม้แต่ในพืชยืนต้น จึงทำให้พืชดูดซับสารอาหารในดินได้ไม่ดีเหมือนเดิม สังเกตได้จากในช่วงแรกการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ได้ผลผลิตดีแต่นานๆไปพืชกลับไม่โตสวยงามเหมือนเดิม

ในส่วนของการผสมเคมีเข้าไปช่วยให้การดูดซับอาหารทำได้ดีในส่วนนี้ ปุ๋ยอินทรีย์ เคมี จะขึ้นอยู่กับสูตรผสมของปุ๋ยที่ผลิตออกมาจำหน่ายยังท้องตลาดในปัจจุบัน และเหตุผลที่ทำให้มั่นใจมากขึ้นคือเมื่อปีพ.ศ. 2550 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีการร่างกฎหมายรับรองและควบคุม เพื่อเป็นมาตรฐานของสินค้าช่วยเพื่อความมั่นใจให้กับเกษตร จึงทำให้เราสามารถมั่นใจได้ว่าปุ๋ยแต่ละชนิดที่ผลิตในประเทศไทยจะได้รับ การตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรับรองมาตรฐานของสินค้าเป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่เราสามารถตรวจสอบได้ด้วยตัวเองเพื่อความมั่นใจเพราะในยุคนี้การที่โรงงานจะสามารถขอใบอนุญาตโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อประกอบธุรกิจในการผลิตปุ๋ยออกมาจำหน่ายในท้องตลาดต้องใช้ระยะเวลานานถึง 2 ปีกว่าจะผ่านขั้นตอนการตรวจสอบของหน่วยงานรัฐที่มีความเข้มงวดจึงทำให้เกษตรกรไทยมั่นใจในการเลือกใช้สินค้า

ข้อจำกัดของปุ๋ยอินทรีย์
แม้ว่าในภาพรวมของปุ๋ยอินทรีย์จะเป็นปุ๋ยที่ใช้งานได้ง่ายและมีความปลอดภัยสูง แต่ก็มีข้อจำกัดหลายเรื่องที่เราต้องทำความเข้าใจก่อน เพื่อให้การเลือกใช้ปุ๋ยอินทรีย์ได้ผลตรงตามความต้องการจริงๆ

  • ปุ๋ยอินทรีย์มีธาตุอาหารค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับปุ๋ยเคมีที่ปริมาณเท่ากัน หมายความว่าถ้าต้องการเร่งผลผลิตให้ได้ตามเป้าหมาย เราต้องใช้ปุ๋ยอินทรีย์มากกว่าปุ๋ยเคมีหลายเท่า ซึ่งตามมาด้วยค่าใช้จ่ายมหาศาล
  • ปุ๋ยอินทรีย์ไม่สามารถปรับแต่งองค์ประกอบให้เหมาะสมกับพืชและดินได้ ด้วยเราไม่อาจกำหนดได้ว่าจะให้มีปริมาณธาตุอาหารแต่ละชนิดในปุ๋ยอินทรีย์เท่าไร การจะเสริมธาตุอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งแบบเจาะจง โดยไม่ต้องการธาตุอาหารอื่นเพิ่มเติมจึงเป็นไปไม่ได้เลย
  • เปอร์เซ็นต์การปนเปื้อนในปุ๋ยอินทรีย์มีมากกว่าปุ๋ยชนิดอื่น สิ่งที่พบได้บ่อยคือโลหะหนักอ้างอิงตามข้อมูลในเอกสารการจัดการดินและปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพของกรมส่งเสริมการเกษตร ซึ่งสะสมต่อเนื่องไปยังผลผลิตทางการเกษตร และเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคได้
  • กระบวนการใช้ปุ๋ยอินทรีย์กินระยะเวลาค่อนข้างนาน จึงไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนในช่วงแรก และไม่แหมาะกับพืชที่ต้องการเร่งผลผลิตมากกว่าปกติด้วย

เนื่องจากอินทรีย์วัตถุมีการย่อยสลายอยู่ตลอดเวลา ปุ๋ยอินทรีย์เคมี โดยเฉพาะพื้นที่เขตร้อนจะมีอัตราการย่อยสลายที่เร็วกว่าพื้นที่ในแถบหนาวที่สูงมาก นอกจากนั้นยังพบอัตราการชะล้าง และซึมลงใต้ดินของแร่ธาตุในปริมาณที่สูงต่อปี ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใส่อินทรีย์วัตถุแก่ดินอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะฤดูหลังการเก็บเกี่ยว ก่อนการเพาะ และระหว่างการเพาะปลูก ซึ่งหากหลังการเก็บเกี่ยวเกษตรกรสามารถประหยัดต้นทุนปุ๋ยที่ใช้ด้วยการไถกลบตอพืช เช่น การไถกลบตอข้าวหลังการเก็บเกี่ยว แต่ถ้าหากเกษตรกรใช้วิธีการเผาแทนจะทำให้สูญเสียอินทรีย์วัตถุโดยใช่เหตุ อีกทั้งยังทำให้หน้าดินแข็ง สูญเสียธาตุอาหาร สูญเสียสัตว์หน้าดิน และจุลินทรีย์ในดินอีกด้วย

นอกจากนี้ภายในส่วนผสมของ ยังมีการเพิ่มจุลินทรีย์บางชนิดเข้าไปเพื่อเติมเต็มประสิทธิภาพในการทำงานในส่วนนี้เราสามารถตรวจสอบสารอาหารและส่วนผสมในการผลิตที่มีการให้ข้อมูลบริเวณบรรจุภัณฑ์เพื่อให้ปุ๋ยที่ดีต่อการใช้งานให้มากที่สุด ด้วยคุณสมบัติที่ครอบคลุมจึงทำให้ การใช้ปุ๋ยชนิดนี้สามารถเห็นผลได้ชัดโดยปกติที่ผ่านมาในการใช้ปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียวมักจะออกฤทธิ์ให้สารอาหารในช่วงเวลา 1 เดือนแรกหลังจากพืชดูดซับอาหารจนหมดทำให้หลังจากนั้นอาหารในดินไม่เพียงพอส่งผลโดยตรงต่อผลผลิต ในบางพื้นที่อาจส่งผลทำให้ดินเสื่อมเป็นปัญหาต่อการการทำการเกษตรการเลือกใช้ปุ๋ยที่เหมาะสมต่อโครงสร้างดินในยุคนี้จึงสามารถตอบโจทย์การทำเกษตรยุคใหม่ที่คุณสามารถเลือกได้

ดินคือโครงสร้างหลักในการทำให้พืชผลทางการเกษตรเติบโตและให้ผลผลิตที่ดีการดูแลดินด้วยการเติมสารอาหารจากปุ๋ยที่เหมาะสม จึงทำให้สามารถให้ผลผลิตที่ดีและการใช้ปุ๋ยชนิดนี้ยังมีขั้นตอนในการใช้งานที่เป็นเคล็ดลับ เช่น ปริมาณในการใช้ ช่วงเวลาในการให้ปุ๋ยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพที่มากขึ้น จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีสำหรับท่านที่กำลังมองหาสินค้าที่จะสามารถเติมเต็มสารอาหารในดิน จึงเป็นทางเลือกที่ไม่ควรพลาด

ปุ๋ยอินทรีย์ มีทั้งข้อดีและข้อเสียเมื่อเรารู้ข้อดีและข้อด้อยของปุ๋ยอินทรีย์แล้ว ปุ๋ยอินทรีย์ เคมี เราต้องนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมเพื่อเสริมประสิทธิภาพให้กับดินและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อการผลิตทางการเกษตรของเรา เมื่อพิจรณาข้อดีและข้อเสียของปุ๋ยอินทรีย์ดังกล่าวจะเห็นว่าทางออกของการใช้ปุ๋ยในการเพราะปลูกเชิงการค้าที่เน้นปริมาณและคุณภาพ ควรใช้ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ยเคมีน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

พืชเจริญเติบโตได้ดีและให้ผลผลิตสูงต้องปลูกในสภาพที่มีปัจจัยที่พืชต้องการอย่างเหมาะสม คือ ต้องมีแสงแดด อากาศ น้ำ และต้องมีธาตุอาหารที่จำเป็น ต่อพืชอย่างครบถ้วน เพื่อให้พืชนำไปสร้างอาหารโดยกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้เป็นน้ำตาลและถูกนำไปใช้ในกระบวนการเจริญเติบโตและการสร้างผลผลิต ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญให้กับมนุษย์ธาตุอาหารที่จำเป็นต่อพืชเป็นธาตุที่มีหน้าที่เฉพาะเจาะจง ไม่สามารถจะใช้สิ่งอื่นทำหน้าที่แทนได้ และถ้าพืชได้รับไม่เพียงพอก็จะส่งผลต่อการเจริญเติบโตและผลผลิต ทำให้ไม่สามารถเจริญเติบโตจนครบวงจรชีวิตได้

และในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับโดยนักวิชาการธาตุอาหารพืชทั่วโลกว่ามีทั้งหมด 17 ธาตุ (ก่อนปี พ.ศ. 2530 ยอมรับเพียง 16 ธาตุ) บางธาตุพืชต้องการมาก ในขณะที่บางธาตุพืชต้องการเพียงเล็กน้อยก็พอ ในประเทศไทยได้แบ่งธาตุอาหารพืชเป็น 3 กลุ่ม คือ 1) ธาตุอาหารหลัก ซึ่งพืชต้องการมากและดินทั่วไปมักมีไม่พอกับความต้องการของพืช 2) ธาตุอาหารรอง ซึ่งพืชต้องการมาก แต่ดินโดยทั่วไปมักมีพอ และ 3) ธาตุอาหารเสริมหรือจุลธาตุ ซึ่งพืชต้องการน้อยแต่ก็จำเป็นและดินทั่วไปมักมีอย่างเพียงพอ ในความเป็นจริงแล้ว ธาตุทุกธาตุทั้ง 3 กลุ่มนี้ มีความสำคัญกับพืชเท่าเทียมกัน ไม่ได้เป็นแค่ธาตุรองหรือธาตุเสริม ดังนั้น พืชต้องได้รับทุกธาตุอย่างเพียงพอ และถ้ามีไม่พอจะต้องเพิ่มให้กับพืชในรูปของ ปุ๋ย ซึ่งเป็นสิ่งที่ให้ธาตุอาหารพืช

https://www.facebook.com/185157998185915

https://page.line.me/jfarmshop?openQrModal=true